เผยอัตราตาย หญิงตั้งภรรค์จากโควิด สูงกว่าคนทั่วไปกว่า 2 เท่า พบคนที่ติดเชื้อ ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน แนะหน่วยงานรัฐ/เอกชน จัดรูปแบบการทำงานที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยง

พลอากาศโท นายแพทย์การุณ เก่งสกุล ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์หญิงตั้งครรภ์ติดโควิดเริ่มพบมากขึ้นหลังสงกรานต์ปี 2564 ข้อมูลล่าสุด ตั้งแต่ ธันวาคม 2563 – 11 สิงหาคม 2564 พบหญิงตั้งครรภ์ติดโควิด 1,993 ราย คลอดแล้ว 1,129 ราย (คิดเป็น 55% ) และกลุ่มนี้มีการฉีดวัคซีนเพียง 10 ราย พบทารกติดเชื้อจากแม่ 113 คน คิดเป็น 11.8% ถือว่าสูงกว่าต่างประเทศมาก ส่วนหนึ่งเพราะเทียบกับข้อมูลจากประเทศที่ฉีดวัคซีนจำนวนมากแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

“ที่น่าห่วงคือหญิงตั้งครรภ์ติดโควิดเสียชีวิตถึง 37 ราย คิดเป็น 1.85% เทียบกับคนทั่วไปที่ติดเชื้อเสียชีวิต 0.83% ถือว่าสูงกว่าคนทั่วไป 2 เท่าครึ่ง ทารกเสียชีวิต 36 ราย คิดเป็น 1.8% เป็นคลอดแล้วเสียชีวิตเลย 11 ราย และเสียชีวิตภายใน 7 วันหลังคลอด 9 ราย อีก 16 ราย เสียชีวิตในท้องพร้อมแม่ ดังนั้น การป้องกันที่ดีที่สุด คือการรับวัคซีน ซึ่งภูมิต้านทานจะถึงทารกด้วย ขณะนี้มีรายงานจากต่างประเทศแล้วว่าการฉีดแบบมิกซ์แอนด์แมชต์ได้ผลภูมิคุ้มกันสูง ไม่จำเป็นต้องเลือกวัคซีน แต่ควรรีบฉีดวัคซีนให้ได้ภูมิคุ้มกันขั้นแรกจากเข็มแรกก่อน และเมื่อตามด้วยเข็ม 2 ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว” พลอากาศโท นายแพทย์การุณกล่าว

 

พลอากาศโท นายแพทย์การุณ เก่งสกุล ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย

เผยสาเหตุ ตั้งครรภ์เสียชีวิตง่าย เสี่ยงแท้ง/คลอดก่อนกำหนด

พลอากาศโท นายแพทย์การุณ กล่าวอีกว่า รกและสายสะดือมีหลอดเลือดจำนวนมาก ขณะที่โรคโควิด 19 เป็นโรคที่ทำให้หลอดเลือดชำรุดเสียหาย ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์สูงมาก ทั้งภาวะความดันโลหิตสูง เลือดออกง่ายกว่าปกติ หลอดเลือดอุดตันที่ปอดมากกว่าปกติ รกลอกก่อนกำหนด จึงเป็นสาเหตุของการแท้งการคลอดก่อนกำหนด เด็กน้ำหนักน้อยกว่ากำหนด รวมถึงทำให้แม่เสียชีวิตได้ง่ายกว่าปกติ รวมถึงสรีระหญิงตั้งครรภ์ ช่วง 32 สัปดาห์หรือ 8 เดือน ครรภ์จะใหญ่ขึ้น น้ำคร่ำในมดลูกมีมากที่สุดประมาณ 1-1.3 ลิตร จึงดันมดลูกขึ้นไปทำให้ปอดขยายตัวลำบาก เกิดภาวะปอดแฟบตามธรรมชาติ ทำให้เกิดปัญหาหายใจล้มเหลวได้มาก

ส่วนกรณีหญิงตั้งครรภ์ 20 สัปดาห์ ฉีดวัคซีนโควิดแล้วลูกเสียชีวิตในท้องนั้น ธรรมชาติของการตั้งครรภ์ สามารถพบทารกเสียชีวิตในท้องได้ประมาณ 1% มีหลายสาเหตุ ทั้งการติดเชื้อ หลอดเลือด สายสะดือ รก ความดันโลหิตสูง จะระบุว่ามาจากการฉีดวัคซีนคงไม่สามารถจะสรุปได้ อย่างไรก็ตาม วัคซีนมีความปลอดภัยและจำเป็นสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ควรฉีดเมื่ออายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป เพราะใน 12 สัปดาห์หรือ 3 เดือนแรกเป็นช่วงที่ร่างกายเด็กกำลังสร้างอวัยวะ ทุกอย่างเช่น ระบบสมอง ประสาท กล้ามเนื้อ ระบบต่อมไร้ท่อ ต้องไม่มียาหรือวัคซีนใดๆเข้ามาแทรกซ้อน สำหรับยาฟาวิพิราเวียร์มีการระบุว่าห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ สามารถใช้ยาเรมเดซิเวียร์แบบฉีดได้ในกรณีอาการรุนแรงเช่นโควิดลงปอด

“ในช่วง 1 ปีของโควิดทำให้ทราบว่าไวรัสกระจายไปอยู่ในทุกส่วนของการตั้งครรภ์ ได้แก่ เลือดแม่ น้ำคร่ำรอบตัวเด็ก เนื้อรก หรือน้ำคัดหลั่งในช่องคลอด ไม่ว่าคลอดทางไหนมีสิทธิติดถึงลูกได้ รวมถึงผ่านน้ำนมไปได้ด้วย แต่ผ่านไปได้มากแค่ไหนกำลังมีการศึกษา ดังนั้น การให้นมบุตรยังมีความจำเป็น เพราะลูกจะได้ภูมิต้านทานจากโรคอื่นด้วย” พลอากาศโท นายแพทย์การุณกล่าว

แนะตั้งครรภ์ กลุ่มเสี่ยงสูง WFH

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในจำนวนหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด 19 จำนวน 1,993 คน ส่วนใหญ่ติดเชื้อในครอบครัวและสถานที่ทำงาน และจากการวิเคราะห์ข้อมูลหญิงตั้งครรภ์ที่เสียชีวิต พบว่าสาเหตุแต่ละรายเกิดจาก 3 ปัจจัย คือ

1) ปัจจัยจากหญิงตั้งครรภ์ ร้อยละ 9 โดยหญิงตั้งครรภ์และครอบครัวขาดความรู้ ความเข้าใจไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงของตนเอง 2) การเข้าถึงบริการ ร้อยละ 21 และ 3) ข้อจำกัดภายในระบบบริการร้อยละ 70

โดยขณะนี้มีหญิงตั้งครรภ์ฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้วเพียง 7,935 คน และเข็มสอง 574 คน จึงจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ให้ครอบคลุมมากที่สุดตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข และมติที่ประชุมคณะกรรมการอนามัยแม่และเด็กแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 เห็นชอบให้หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์หลัง 12 สัปดาห์ และหญิงให้นมบุตรสามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้ เพื่อลดความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง และการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด 19

นอกจากนี้ แม้ว่าหญิงตั้งครรภ์จะได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแล้ว ยังต้องไปตรวจครรภ์ตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ตามนัดหมาย โดยป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัดตามมาตรการ DMHTT สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร

เมื่อกลับถึงบ้านให้ถอดหน้ากากทิ้งอย่างถูกวิธี อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที งดใช้ของส่วนตัวร่วมกัน สังเกตอาการผิดปกติของการตั้งครรภ์ ล้างมือบ่อย ๆ กินอาหารปรุงสุก สะอาด ครบ 5 หมู่ ดื่มนมรสจืด 2-3 แก้วทุกวัน เลี่ยงอาหารรสจัด หมักดอง กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่

นอกจากนี้ สถานประกอบการ หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชน ควรสนับสนุนให้กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ทำงานที่บ้าน (Work From Home) ได้แก่ กลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม, ตั้งครรภ์ในไตรมาส 3 หรือ 28 สัปดาห์ขึ้นไป, มีภาวะครรภ์เสี่ยงสูง, ทำงานในสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงสูง หรืออยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดโดยกรมอนามัยได้จัดทำคำแนะนำการป้องกันการติดเชื้อจากบุคคลใกล้ชิดในครอบครัวและภายในบ้านสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เผยแพร่ทาง  Facebook เพจกรมอนามัย

ที่มา : สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข