วิกฤตโควิด ปิดเนิร์สเซอรี-เดย์แคร์ ทำพ่อแม่มนุษย์เงินเดือนเครียด งานดร็อป ลาเลี้ยงลูก ผู้นำสหรัฐฯ เร่งอัดฉีดงบฉุกเฉิน ฟื้นศูนย์เด็กที่แพ้ภัยเศรษฐกิจจนต้องเลิกกิจการ ด้านธุรกิจเร่งหาตัวช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวพนักงาน หวังกู้ประสิทธิภาพการทำงาน

หนึ่งในความท้าทายของคนทำงานที่มีลูกน้อยต้องดูแลในช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด ก็คือ “สถานรับเลี้ยงเด็กปิด” ตามนโยบายของภาครัฐ พ่อแม่ที่ออฟฟิศยังไม่ให้ทำงานจากที่บ้าน จำต้องแบ่งเวลาทำงานไปดูแลลูก

“ตอนแรกที่ลูกเริ่มเรียนออนไลน์ที่บ้าน ฉันคิดว่าง่าย ๆ จัดการได้ แต่พอเอาเข้าจริงเป็นเรื่องยากมาก ฉันต้องลาหยุดดูแลลูก ต้องพลาดประชุมสำคัญเป็นประจำ” Sara Abate Rezvanifar ผู้อำนวยการบริษัทสื่อสารแห่งหนึ่ง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC

มีการสำรวจจากองค์กร American Staffing Association พบว่าพ่อแม่ชาวอเมริกันกว่า 2 ใน 3 ระบุว่าการต้องดูแลลูกที่อยู่บ้านตลอดเวลา และจัดการให้ลูกเรียนออนไลน์ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน หลายคนรู้สึกว่าตัวเองตามงานไม่ทัน

ส่วนพ่อแม่ที่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร หลายคนพูดตรงกันว่า ถึงจะอยู่บ้าน แต่การจัดการเวลาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไหนจะต้องทำงาน ประชุมออนไลน์ ในขณะที่ลูกเรียกหา ทำให้ต้องเสียจังหวะการงานการประชุม  การต้องแบกสองจ็อบในเวลาเดียวกัน ทั้งการดูแลลูกและทำงาน ทำให้พ่อแม่หลายคนอยู่ในภาวะเครียด นอนไม่พอ  นอนไม่หลับ จนรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งที่ทำงานอยู่กับบ้านโดยไม่ต้องเดินทางไปไหน

ขาดแคลน "เดย์แคร์" ฉุดประสิทธิภาพ พ่อแม่มนุษย์เงินเดือน

สหรัฐฯ ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีปัญหาสถานรับเลี้ยงเด็กไม่เพียงพอ และมีราคาแพงมาแต่ไหนแต่ไร  ยิ่งโควิดระบาด สถานรับเลี้ยงเด็กถูกสั่งปิด พ่อแม่ยิ่งลำบากขึ้นอีก โดยเฉพาะคุณแม่ซึ่งเป็นกำลังหลักในการดูแลลูก ๆ คุณแม่ชาวอเมริกันต้องลดเวลาทำงานตัวเองเพื่อแบ่งมาทำงานบ้านดูแลลูกที่อยู่บ้าน

รายงานเมื่อปี 2019 ของ Council for a Strong America ระบุว่าการขาดแคลนสถานรับเลี้ยงเด็กในสหรัฐฯ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของชาวอเมริกัน ทำให้สูญเสียรายได้ทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมากกว่า 13,000 ล้านเหรียญต่อปี มีบริษัทเพียงร้อยละ 4 ในสหรัฐ ที่มีสถานรับเลี้ยงเด็กสำหรับพนักงาน หรือมีนโยบายช่วยเหลือพนักงานเรื่องการดูแลลูก

ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดรุนแรงในสหรัฐฯ สถานรับเลี้ยงเด็กเป็นบริการสาธารณะประเภทแรก ๆ ที่รัฐบาลถูกสั่งปิด แม้ในเวลาต่อมา รัฐบาลประกาศคลายล็อกดาวน์  อนุญาตให้สถานรับเลี้ยงเด็กเปิดได้ตามปกติ แต่หลายแห่งก็ขาดทุนต่อเนื่อง จนต้องปิดตัวถาวรไปเลย

ข้อมูลของ American Progress ระบุว่าปัจจุบัน เด็กกว่า 4.5 ล้านคนในสหรัฐฯ ไม่มีสถานรับเลี้ยงเด็กรองรับ รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน จำต้องรีบประกาศงบประมาณฉุกเฉินอุดหนุนกิจการสถานรับเลี้ยงเด็กให้ฟื้นตัวโดยเร็ว เพราะรัฐบาลเชื่อว่าถ้ามีสถานรับเลี้ยงเด็กช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ พ่อแม่จะได้กลับไปทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ

เอกชนเร่งหาตัวช่วยรับภาระลูก ดึงพ่อแม่กลับมาทำงาน

นอกจากการอนุญาตให้พนักงานยืดหยุ่นเรื่องเวลาทำงาน โดยสามารถบริหารเวลาได้เองแล้ว บริษัทในสหรัฐฯ เริ่มมองหามาตรการเสริมเพื่อช่วยเหลือพนักงานที่ต้องดูแลลูกที่บ้าน

Duolingo บริษัทรับจัดทำเว็บไซต์ภาษาต่างประเทศ เลือกการว่าจ้างบริษัทดูแลเด็กมาให้คำแนะนำพ่อแม่ และสร้างระบบ Backup Care หรือสถานรับเลี้ยงดูเด็กในกรณีฉุกเฉิน เช่น พ่อแม่มีธุระจำเป็นหาคนฝากเลี้ยงไม่ได้จริง ๆ

ขณะเดียวกัน ก็มีจัดระบบดูแลเด็กออนไลน์ บริษัทที่รับจ้างดูแลเด็ก จะวิดีโอคอลล์คุยกับเด็ก ๆ เพื่อให้เด็กที่ถูกกักตัวอยู่ในบ้านมีกิจกรรมทำ ไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ที่กำลังทำงาน

 

“พนักงานอยากได้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตและอารมณ์สำหรับคนในครอบครัวจากการทำงานที่บ้าน เราเลยร่วมมือกับบริษัทดูแลเด็ก ออกแบบโปรแกรมให้ความรู้และมีกิจกรรมนันทนาการสำหรับเด็ก ๆ เวลาอยู่บ้าน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้พ่อแม่ที่ต้องทำงานไปด้วย” Jill Wilson ผู้อำนวยการด้านทรัพยากรมนุษย์ของบริษัท Carter บริษัทเสื้อผ้าเด็กในสหรัฐฯ กล่าว

ด้าน Best buy บริษัทจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า เพิ่มเงินให้พนักงานเดือนละ 100 เหรียญสหรัฐ เพื่อการดูแลครอบครัว ขณะเดียวกันก็ร่วมมือกับบริษัทดูแลเด็กออนไลน์ Care.com ในการจัดหาพี่เลี้ยง หรือหาคนดูแลสมาชิกในครอบครัวอีกด้วย

Tim Allen ซีอีโอของ Care.com กล่าวว่าปัจจุบันมีกลุ่มพ่อแม่มากกว่า 200,000 คนใช้บริการของ Care.com และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่บริษัทต่าง ๆ พยายามหาทางช่วยเหลือพนักงานที่ต้องทำงานจากที่บ้าน เลยเลือกใช้บริการจัดหาพี่เลี้ยงผ่านทางออนไลน์ให้พนักงาน

“ช่วงโควิดระบาด พ่อแม่ส่วนใหญ่หาเดย์แคร์ให้ลูกไม่ได้ เพราะถูกสั่งปิด พอเดย์แคร์กลับมาเปิดให้บริการ แต่สถานการณ์โควิดยังไม่ค่อยดี การพาลูกไปไปอยู่รวมกันก็มีความเสี่ยงสูง การจัดหาพี่เลี้ยงมาช่วยดูแลลูกที่บ้านช่วยลดความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง แม้จะไม่ถึงกับศูนย์ แต่ก็มั่นใจได้มากกว่า” Tim Allen กล่าว

ที่มา :
www.nytimes.com
www.cnbc.com