หนึ่งในปัญหาใหญ่ของสังคมผู้สูงอายุ คือการที่คนวัยทำงาน ต้องดูแลพ่อแม่ที่อายุมาก หลายคนจำใจลาออกจากงานประจำ ทั้งที่รู้ว่าต้องเผชิญปัญหารายได้ และการเงินในอนาคต ในสหรัฐฯ องค์กรเริ่มมองเห็นปัญหานี้ และหาทางสนับสนุนเพื่อให้คนทำงาน สามารถดูแลครอบครัวไปพร้อมกับรับผิดชอบงานได้ด้วย
การต้องทำงานพร้อมไปกับการดูแลสมาชิกในครอบครัว เป็นภาระหนัก โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่ถูกมองว่าต้องมีหน้าที่ในการดูแลคนในครอบครัว ไม่ใช่แค่ลูกเล็ก แต่ยังรวมถึง พ่อแม่ที่สูงวัย
ไม่ใช่แต่ในบ้านเรา ที่คนวัยทำงานต้องเจอปัญหาชีวิตงานกับครอบครัวที่ไม่ค่อยสมดุล ข้อมูลจาก National Association of Insurance Commissioners report สหรัฐอเมริกา ระบุว่า มีคนที่รับภาระดูแลครอบครัวมากกว่าร้อยละ 10 ที่ต้องลดเวลางานลง และอีกร้อยละ 6 บอกว่า การดูแลครอบครัวเป็นงานหนักจนต้องตัดสินใจลาออกจากงานประจำ
มีการเก็บข้อมูลจากหน่วยงานที่ใช้ชื่อว่า Daughters in the Workplace สำรวจผู้หญิงที่รับภาระดูแลพ่อแม่สูงวัย ขณะเดียวกันก็ทำงานประจำไปด้วย เจอข้อคิดเห็นที่ว่า พวกเธอต้องเลือกระหว่างการเป็น “พนักงานที่ดี” หรือ “ลูกที่ดี” แต่หัวหน้ามักจะไม่ให้การสนับสนุนการเลื่อนตำแหน่ง เพราะมองว่าพวกเธอต้องรับภาระครอบครัว ทำให้ทำงานไม่ได้เต็มที่
พอล โฮแกน ผู้ก่อตั้งบริษัทดูแลผุ้สูงอายุ Home Instead บอกว่าไม่มีตัวเลขที่แท้จริงของคนที่รับภาระดูแลพ่อแม่สูงวัย เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องนี้ เนื่องจากไม่อยากให้เป็นเป้าสายตาว่าอาจทำให้งานย่อหย่อนลง และบริษัทส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีมาตรการช่วยเหลือพนักงานที่มีพ่อแม่สูงวัย ข้อมูลนี้เลยยิ่งไม่เป็นที่รับรู้
“เรามักจะสนุกเวลาคุยเรื่องลูกในที่ทำงาน แต่ไม่สนุกเลยถ้าจะคุยเรื่องพ่อแม่ที่สุขภาพถดถอยลงทุกวัน บริษัทเข้าใจและเห็นใจพนักงานที่มีลูก และโปรแกรมช่วยเหลือพนักงาน มักเป็นในรูปแบบสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือช่วยเหลือพนักงานที่มีปัญหาการเงิน หรือสุขภาพ การพูดถึงการดูแลผู้สูงวัยมีน้อยมาก” โฮแกน ระบุ
พนักงานจำนวนมากที่จำใจต้องออกจากงานด้วยภาระในการดูแลพ่อแม่ ปัญหาที่ติดตามมาคือเรื่องการเงิน ตามมาอีกอย่างคือปัญหาความเครียดจากการดูแลผู้สูงวัยแบบเต็มเวลา งานวิจัยพบว่า การลาออกเพื่อดูแลพ่อแม่จะทำให้พนักงานสูญเสียรายได้ ต้องใช้เงินเก็บ และเงินจากประกันสังคม และการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานอีกครั้ง ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ

คอร์รีน สมิธ ในวัย 59 เธอลาออกจากงานประจำเพื่อมาดูแลคุณพ่อวัย 80 พ่อของเธอมีเงินประกันสังคมและเงินบำนาญที่พอเลี้ยงชีพได้ แต่สุขภาพไม่แข็งแรง และต้องไปหาหมอเป็นประจำ
“ฉันเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดมาทั้งชีวิต พอย้ายมาอยู่กับพ่อก็พยายามหางานในห้องสมุด แต่ห้องสมุดทั่วไปไม่รับ ฉันต้องการงานที่ยืดหยุ่นและจัดสรรเวลาได้ เพราะว่าต้องพาพ่อไปหาหมอแทบทุกอาทิตย์ แล้วถ้าเกิดอะไรฉุกเฉินเร่งด่วนขึ้นมา ทันทีที่พ่อโทรหา ฉันก็ต้องรีบไปเพราะเราอยู่กันแค่สองคนพ่อลูก”
สุดท้าย คอร์รีนได้งานในร้านหนังสือแถวบ้าน ที่เจ้านายมีพ่อแม่สูงวัยเช่นกัน แต่เธอก็ยังกังวลเรื่องเงินเก็บสำหรับตัวเองตอนเกษียณอายุ
“ทุก ๆ วัน มีคน 10,000 คน อายุครบ 65 ปี ภายใน 30 ปี ผู้สูงวัยในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น 2 เท่า จาก 48 ล้านคน เป็น 88 ล้านคน” โจดี้ สเตอร์เจียน นักข่าวประจำเว็บไซต์ Next Avenue ที่รวบรวมข่าวสารสำหรับคนวัยเบบี้บูมเมอร์ระบุ โจดี้บอกด้วยว่า คนที่จะต้องแบกรับภาระสังคมสูงวัยก็คือ ผู้หญิงวัยกลางคน
ข้อมูลจาก American Time Use Survey ระบุว่า ผู้หญิงกว่า 1 ใน 4 ที่อยู่ในช่วงวัย 45 – 64 ปี รับภาระดูแลผู้สูงวัยในครอบครัว
สนับสนุนการดูแลพ่อแม่สูงวัยให้คนทำงาน
บริษัทกฎหมาย McDermtt Will & Emery เริ่มต้นโปรแกรมช่วยเหลือพนักงานในการดูแลสมาชิกครอบครัวสูงวัยช่วงโควิด-19 ระบาด ด้วยการร่วมมือกับบริษัทที่ปรึกษาและช่วยเหลือในการดูแลผู้สูงอายุ จัดทำคู่มือดูแลผู้สูงอายุแก่พนักงาน ขณะเดียวกัน ก็มีระบบให้คำปรึกษาส่วนตัว ฝึกสอน และช่วยจัดหาเจ้าหน้าที่ดูแลผู้สูงวัยที่บ้านให้กับพนักงาน
บริษัทมองว่า การมีผู้สูงอายุในครอบครัวทำให้พนักงานต้องแบ่งเวลาไปดูแล พนักงานที่ต้องทำงานนอกบ้าน ไม่สามารถดูแลผู้สูงอายุได้ตลอดเวลา จึงควรมีผู้ช่วยเหลือ เช่น ช่วยพาผู้สูงอายุไปซื้อของกินของใช้ประจำวัน หรือช่วยจัดการธุระเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้สูงอายุทำเองไม่ได้
เดฟ จาคอปส์ ซีอีโอ Homethrive บริษัทดูแลผู้สูงวัย บอกว่านับตั้งแต่โควิดระบาด บริษัทจำนวนมากเข้ามาทำสัญญากับบริษัทเพื่อจัดทำนโยบายช่วยเหลือพนักงานดูแลพ่อแม่สูงวัย
“การดูแลผู้สูงอายุต้องใช้เวลาเยอะมากครับ พนักงานที่มีคนสูงวัยในครอบครัวต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อดูแลพ่อแม่ บริษัทเห็นปัญหาตรงนี้และเชื่อว่าควรจะเข้ามาดูแลช่วยเหลือ” จาคอปส์ระบุ
อ่านเพิ่มเติม : สวัสดิการแนวใหม่ ใส่ใจผู้สูงวัยในครอบครัวพนักงาน
ข้อมูล :