ประชากรวัยทำงานเป็นกลไกหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบัน ประเทศไทยมีประชากร 76 ล้านคน ราวครึ่งหนึ่งเป็นวัยแรงงาน ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและครอบครัว จึงหมายถึงความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสังคมไปพร้อมกั
สิ่งที่หลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย กำลังเผชิญคือการก้าวสู่สังคมผู้สูงวัย ที่สัดส่วนประชากรอายุเกิน 60 ปีเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อัตราการเกิดใหม่ลดต่ำลง จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมที่ทำให้ครอบครัวรุ่นใหม่มีลูกลดลง บางครอบครัวเลือกที่จะไม่มีลูก คนอีกจำนวนมากตัดสินใจใช้ชีวิตโสด
ครอบครัวและการงาน กลายเป็นสองทางเลือก ขณะที่คนจำนวนหนึ่งเลือกงาน คนอีกจำนวนหนึ่งเมื่อเลือกครอบครัวก็จำเป็นต้องถอยตัวเองออกจากงานไป อีกจำนวนหนึ่งเลือกไม่ได้ เมื่อมีสมาชิกในครอบครัวสูงวัยที่ต้องการการดูแล เหล่านี้ ล้วนส่งผลต่อการสูญเสียกำลังแรงงาน ที่ส่งผลต่อธุรกิจ เศรษฐกิจ และภาพรวมของทั้งสังคม
รัฐบาลไทย เช่นเดียวกับรัฐบาลของหลายประเทศ มีการจัดทำนโยบายเพื่อรับมือสถานการณ์ดังกล่าว ที่สำคัญคือ การส่งเสริมทุกการเกิดและเติบโตให้มีคุณภาพ รวมทั้งการแบ่งเบาภาระในการดูแลครอบครัวไม่ให้ตกที่คนทำงานเพียงฝ่ายเดียว ด้วยนโยบายและมาตรการที่สำคัญ ทั้งที่มุ่งเป้าไปที่คนทำงาน และสนับสนุนผ่านสถานประกอบการ อาทิ
สิทธิลาคลอด ไม่เกิน 98 วัน รวมถึงวันลาเพื่อตรวจครรภ์ก่อนคลอดบุตร โดยยังได้รับค่าจ้างเท่ากับวันทำงาน แต่ไม่เกิน 45 วัน
ศูนย์เด็กเล็ก ส่งเสริมให้มีการจัดตั้งขึ้นในสถานประกอบการ
การยกเว้นภาษี ให้กับสถานประกอบการที่จัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็ก
การจัดสวัสดิการแรงงานแบบยืดหยุ่น เพื่อเสริมคุณภาพชีวิตคนทำงาน รวมถึงครอบครัว
การส่งเสริมการจัดมุมนมแม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้หญิงทำงาน ในการจัดเก็บน้ำนมสำหรับลูก
การจัดส่งน้ำนมแม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้หญิงทำงาน ซึ่งต้องส่งน้ำนมให้ลูกที่อยู่ต่างจังหวัด
นอกจากภาครัฐแล้ว องค์กร/สถานประกอบ สามารถมีบทบาทอย่างสำคัญในการเสริมสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและครอบครัวให้กับคนทำงาน จากประสบการณ์ของหลายแห่ง พบว่าการดำเนินงานดังกล่าว ไม่เพียงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตคนทำงาน แต่หมายรวมถึงความพร้อมของบุคลากรในองค์กรที่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย