
เรื่อง : วาสนา เดชวาร
ทันทีที่รู้ผลตรวจ ATK ว่าตนเองมีผลเป็นบวก เฟิร์ส – สุกฤษฎิ์ กำมา ถึงกับมืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าไปติดจากไหน เมื่อไร เพราะวงจรชีวิตประจำวันของเขาแทบไม่ได้ไปไหนเลย นอกจากมาทำงาน ออกไปซื้ออาหาร และกลับที่พัก
สิ่งที่ทำได้อย่างแรกคือ แจ้งหัวหน้างานเพื่อขอคำแนะนำ
เฟิร์ส ทำงานที่บางจากฯ มา 2 ปี ในตำแหน่งพนักงานปฏิบัติการ Operator รับผิดชอบดูแลการทำงานของกระบวนการผลิต ในช่วงที่มีวิกฤตโควิดหนัก ๆ บริษัทฯ มีมาตรการที่ค่อนข้างเข้มข้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงของพนักงานในการรับเชื้อ ส่วนงานของเฟิร์สต้องปฎิบัติงานในพื้นที่ ไม่สามารถ Work From Home ได้ บริษัทมีการแบ่งเวลาทำงานเพื่อให้พบปะผู้คนน้อยที่สุดเป็นการลดความเสี่ยง แต่ถึงระวังอย่างไรเขาก็ยังติดเชื้อในที่สุด
“ผมเริ่มมีไข้ขึ้นสูง จึงไปตรวจที่โรงพยาบาล ระหว่างที่รอผล เพื่อความปลอดภัยจึงแจ้งไปทางบริษัท เขาให้ไปตรวจ ATK ก่อน ผลออกมาเป็นบวก หัวหน้าจึงประสานงานกับฝ่ายบุคคล เพื่อจองคิวกับทางโรงพยาบาลให้ผมไปตรวจ RT-PCR อีกครั้ง ช่วงที่รอผลตรวจก็มาพักที่ศูนย์พักคอยของบริษัทฯ พอรู้ผลว่าติดโควิด ก็รอ HR ประสานที่จะไปพักรักษาตัว โชคดีที่ผมอยู่หอเพียงคนเดียวจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการนำเชื้อไปติดกับครอบครัวที่บ้าน”
พนักงานรอด องค์กรปลอดภัย
ตอนนั้น เฟิร์ส ไม่แน่ใจว่าบริษัทจะดูแลในเรื่องใดให้บ้าง จึงรู้สึกประทับใจที่ HR ช่วยจัดการประสานงานในด้านต่าง ๆ และได้รู้ว่าบริษัทดูแลพนักงานคลอบคลุมทั้งหมด เช่น ค่าตรวจโควิด เขายอมรับว่าถ้าไม่ได้บริษัทช่วยคงแย่เหมือนกัน เพราะไม่รู้ข้อมูลเลยว่าจะต้องไปตรวจอะไร ตรงไหน ซึ่งบริษัทมีข้อมูลตรงนี้มากกว่า
“ผมน่าจะเป็นชุดแรก ๆ ที่เข้าไปใช้บริการศูนย์พักคอยของบริษัท เขาอำนวยความสะดวกสบายให้กับคนติดเชื้อ และกลุ่มเสี่ยงสูง มีการจัดของใช้ในชีวิตประจำวันไว้ให้ มีเสื้อผ้าสำรอง คอยดูแลอาหารการกินให้ 3 มื้อทุกวัน มีชุดยาสามัญ มีอินเทอร์เน็ต มีทุกอย่างให้เราอยู่อย่างสบายกายสบายใจ มีคุณหมอให้คำแนะนำ ถามอาการ ผมอยู่ที่นี่ประมาณ 4-5 วันก็ถูกส่งไปที่ Hospital เพราะไม่ใช่เคสอาการหนัก อาจเพราะได้รับวัคซีนที่บริษัทจัดหาให้ไปแล้ว 1 เข็ม กำลังรอเข็ม 2 แต่ว่าติดโควิดเสียก่อน”
การที่บางจากมีศูนย์พักคอยช่วยเหลือรองรับพนักงาน เฟิร์ส กล่าวในฐานะผู้มีประสบการณ์ในการใช้บริการว่า มีประโยชน์มากเพราะเขาเองอยู่หอพักที่มีคนอาศัยอยู่พลุกพล่าน คนเหล่านั้นอาจมีความเสี่ยงไปกับเขาด้วย หรือหากจะใช้วิธี Home Isolation ก็คงลำบาก การมาอยู่ศูนย์พักคอยจึงตอบโจทย์คนที่อยู่คนเดียวอย่างเขาได้มากที่สุด
“อีกเรื่องที่เห็นว่าบริษัททำดีมากคือ การให้ความสำคัญกับการหาวัคซีนให้พนักงาน ถ้าเราหาเองคงยาก เพราะความต้องการฉีดวัคซีนมีเยอะจนแย่งชิงกัน งานเราก็ยุ่งไม่มีเวลาไปนั่งหาข้อมูลลงทะเบียน ที่จริงเขาให้พนักงานพาครอบครัวมาฉีดวัคซีนได้ แต่พอดีพ่อแม่ผมอยู่ต่างจังหวัด ต้องขอบคุณองค์กรที่ดูแลไปถึงครอบครัวของเราด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ใช้โควตา อย่างน้อยเหมือนมีคนคอยสนับสนุนเราอีกแรงหนึ่ง ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นว่าถ้าวันไหนครอบครัวเกิดเจ็บป่วย ก็ยังมีองค์กรคอยดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาล” พนักงานหนุ่มวัย 22 กล่าว

เข้ากักตัวในเซฟเฮาส์ ลดเสี่ยงการแพร่เชื้อ
หลังจากวางสายที่โทรพูดคุยกับภรรยาและลูกที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ธันยะ-ธนนริศร์ กรองใจ หัวหน้าหน่วยกลั่นอาวุโส บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก็มาจัดการกับอาหารมื้อเช้าที่น้อง ๆ ทีมงานดูแลพนักงานนำมาให้ที่โรงแรม ซึ่งเป็นเซฟเฮาส์ของเขาและพนักงานคนอื่น ๆ ทุกเมนูอร่อยเหมือนเดิม นอกจากอาหาร 3 มื้อแล้ว ขนม ผลไม้ ยังไม่มีขาดตกบกพร่อง จากนั้นเขาก็รอรถบริษัทที่จะมารับพนักงานไปทำงานที่โรงกลั่นซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน ข้อดีอย่างหนึ่งในการอยู่เซฟเฮาส์คือ ไม่ต้องรีบตื่นเพื่อฝ่าการจราจรมาให้ทันในวันที่ต้องเข้างานกะเช้า
นี่คือวิถีชีวิตของธันยะ ที่หมุนวนอยู่แบบนี้นานนับเดือน ในช่วงที่วิกฤตโควิด-19 ทวีความรุนแรงขึ้นโดยบริษัทบางจากฯ ได้จัดเตรียมพื้นที่ที่เรียกกันว่า เซฟเฮาส์ ให้พนักงานที่จำเป็นต้องมาปฏิบัติงานที่โรงกลั่นได้พักอาศัย เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน ลดการติดต่อประสานงานกับคนอื่นให้มากที่สุด และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสู่ครอบครัวในกรณีที่ติดเชื้อ นอกจากเรื่องที่พักแล้วก็มีการจัดเตรียมอาหาร ของว่าง ของใช้จำเป็นต่าง ๆ มีการจัดรถรับส่งตลอด เพื่อให้พนักงานสามารถอยู่ใน safe house ได้อย่างสะดวกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ช่วงแรกที่ต้องมาอยู่เซฟเฮ้าส์รู้สึกเครียดเหมือนกัน เพราะจะไม่ได้กลับบ้านนานเป็นเดือน ๆ ไหนจะห่วงทางบ้าน ไหนจะเรื่องงาน ไหนจะต้องระวังเรื่องโรค และไม่มีอิสระในการไปไหนมาไหน แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าจำเป็นต้องทำเพื่อความปลอดภัย เพราะหากมีปัญหาอะไรขึ้นมาก็จะผลิตน้ำมันไม่ได้ ภรรยาและลูกอยู่ที่บ้านก็บ่นคิดถึงแต่ก็เข้าใจในการทำงานของเรา ก็อาศัยโทรคุยกันตลอดให้พอหายคิดถึง” ธันยะ เล่าถึงความรู้สึกในช่วงนั้น
พลิกวิกฤติเป็นโอกาส คืนเวลาให้ครอบครัว
แม้ตอนนี้จะกลับมาอยู่บ้านตามปกติแล้ว แต่สิ่งที่ธันยะยังคงประทับใจในยามที่ต้องห่างไกลครอบครัวคือ ความดูแลเอาใจใส่ขององค์กรที่มีต่อพนักงาน ไม่ใช่แค่ตอนอยู่ที่เซฟเฮาส์ แต่ดูแลตลอดช่วงที่มีการระบาด เช่น ส่งชุด Care box ที่เป็นชุดกำลังใจ ชุด Care kit ที่มีการแจกยาสามัญประจำบ้าน เจลแอลกอฮอลล์ หน้ากากอนามัย ส่งให้ถึงบ้านพนักงานเป็นการเผื่อถึงครอบครัวด้วย
“ต้องขอบคุณที่บริษัทมีการรับมือในเชิงรุก คือ จัดหาชุดตรวจ ATK ให้พนักงาน ที่จัดให้ตรวจทุก 7-14 วัน มีสวัสดิการพื้นฐานที่ทางองค์กรมีการทำประกันหมู่ให้พนักงานและครอบครัว ตอนที่น้องในทีมเป็นโควิด ทางบริษัทก็ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งครอบครัว และยังมีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ที่องค์กรไม่เพียงดูแลพนักงานคนเดียวแต่ยังครอบคลุมให้ถึงครอบครัว เช่น สามีภรรยา บุตร พ่อแม่ด้วย”
การอยู่ในองค์กรที่มีการดูแลพนักงานอย่างดี และเอื้อไปถึงครอบครัวด้วย ธันยะ มองว่าทำให้พนักงานรู้สึกผูกพันกับองค์กร ยิ่งในช่วงที่โควิดวิกฤติมาก ๆ ทุกคนรู้สึกอุ่นใจเพราะรู้ว่าถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นยังมีบริษัทฯ คอยช่วยเหลือ
“อย่างการสร้างศูนย์พักคอยขึ้นมารองรับพนักงาน ผมว่าดีมาก ถ้าเรารู้สึกว่าเสี่ยงก็สามารถขอพักได้เลย เพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีไปถึงครอบครัว” หัวหน้าหน่วยกลั่นอาวุโส กล่าว
กว่า 23 ปี แล้วที่ ธันยะ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรแห่งนี้ ที่นี่จึงเป็นเหมือนบ้านอีกหลังหนึ่ง ชีวิตประจำวันก็จะรู้สึกคุ้นเคยกับการทำงานวันละ 8 ชั่ว โมง ทำสัปดาห์ละ 6 วัน หยุด 2 วัน แต่เมื่อมีสถานการณ์โควิดรุนแรงมากขึ้น ในส่วนของพนักงานที่ต้องมาปฏิบัติงานในโรงกลั่นไม่สามารถ Work From Home ได้เหมือนกับหน่วยงานอื่น บริษัทมีการปรับเปลี่ยนเวลาทำงานเป็นวันละ 12 ชั่วโมง โดยทำงาน 4 วัน หยุด 4 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการพบปะ รวมกลุ่ม แน่นอนผลพลอยได้ที่ได้ คือ ทำให้มีวันหยุดที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ธันยะบอกว่า ทุกคนชอบแบบนี้มากกว่าแบบเดิม เรียกว่าในการเปลี่ยนแปลงช่วงวิกฤติโควิดก็ทำให้มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น



แปลงผักที่ปลูกภายในบริษัท และแจกจ่ายให้พนักงานในช่วง Work From Home
เปิดศูนย์พักคอย เพื่อพนักงาน-ครอบครัว ปลอดภัย
ศูนย์พักคอย จากตู้คอนเทนเนอร์ ที่ทุกคนพูดถึง เคยใช้เป็นที่ประชุมหรือต้อนรับบุคคลภายนอกในช่วงสถานการณ์โควิด ก่อนจะปรับเป็นศูนย์พักคอย จำนวน 25 ห้อง โดยแบ่งเป็นโซน คือโซนระหว่างตรวจ ATK ที่เป็นผู้เสี่ยงสูง กับโซนที่รอผล RT-PCR แล้วรอเข้าระบบการรักษาพยาบาล โดยให้พักห้องละคน มีห้องน้ำส่วนตัว และมีแพทย์ พยาบาล ในรูปแบบ telemedicine คอยให้คำแนะนำผ่าน Video Call
นพชัย นุตสติ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์พักคอยว่า จัดขึ้นเมื่อประมาณปลายกรกฎาคม ในช่วงที่มีผู้ติดเชื้อเยอะมากแล้วหาโรงพยาบาลกันไม่ได้ บริษัทจึงใช้พื้นที่ส่วนกลางของโรงกลั่น เพื่อรองรับพนักงานผู้มีความเสี่ยงสูง
“ช่วงนั้นทีม HR รับโทรศัพท์จากพนักงานเยอะมาก ใครโทรมาเราก็ช่วยเหลือทุกคน ทั้งพนักงานและครอบครัวของเขา ช่วยกันประสานหาโรงพยาบาล ช่วงนั้นการทำ Home isolation กำลังเริ่มมา การทำที่พักสำหรับผู้ป่วยสีเขียวมีขั้นตอนที่ค่อนข้างซับซ้อน เพราะต้องถามเรื่องของประชามติชุมชน เพราะองค์กรตั้งอยู่ในชุมชน ซึ่งหากรอเวลาหรือขั้นตอนจะไม่ทัน เราเลยจัดทำศูนย์พักคอยผู้เสี่ยงสูงแทน ผู้บริหารให้ใช้ไอเดีย แยกกลุ่มเสี่ยงออกมาจากคนปกติ มาอยู่ศูนย์พักคอยเพื่อช่วยพนักงานในเบื้องต้นก่อน
ช่วงที่เริ่มสร้างมีผู้มาใช้บริการประมาณ 4-5 คน จากนั้นก็มีมาเรื่อย ๆ แต่ก็เพียงพอ ถ้าพนักงานตรวจเจอเชื้อที่ออฟฟิศและไม่กลับบ้าน สามารถเข้าอยู่ที่นี่ได้เลย เรามีชุดสำรองให้พร้อมสรรพ แต่ที่เราดีใจคือ การติดเชื้อของบริษัทเรา ไม่มีใครมาติดเชื้อจากผู้ร่วมงาน ถือว่าเราป้องกันภายในได้ครบ 100% เพราะส่วนใหญ่ติดมาจากบ้านและสถานที่อื่น ๆ” นพชัย กล่าว
องค์กรดีต่อใจ ดูแลไปถึงครอบครัวพนักงาน
ตั้งแต่ต้นปี 2564 บางจากมีพนักงานติดเชื้อโควิด-19 ประมาณ 20 คนจากพนักงาน 1,100 คน ถือว่าน้อยมาก เนื่องจากผู้บริหารให้ความสำคัญในเรื่องการให้ความรู้ การป้องกันโควิดกับพนักงาน รวมทั้งรณรงค์ให้พนักงานไปฉีดวัคซีนผ่านแคมเปญต่าง ๆ เช่น สนับสนุนวันไปฉีดวัคซีนโดยไม่ถือเป็นวันลา กิจกรรม “ฉีดปั๊บรับโชค” ที่ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วมาลงทะเบียนเพื่อลุ้นรับรางวัลภายในบริษัท รวมทั้งที่บริษัทเองเดิมก็มีการทำประกันให้พนักงานทุกคน รวมทั้งการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management : BCM) หากเกิดเหตุการณ์วิกฤตอะไรขึ้นธุรกิจต้องดำเนินต่อได้
“บริษัทให้พนักงานที่ทำงานตามเวลาออฟฟิศ Work from Home มา 3-4 เดือนแล้ว แต่มีพนักงานอยู่หน่วยงานเดียว คือ Distributed Control System หรือที่พวกเราเรียกว่า DCS ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมกระบวนการผลิตน้ำมัน ที่ไม่สามารถปฏิบัติงานที่บ้านได้ ต้องทำงานเป็นกะตลอด 24 ชั่วโมง บริษัทจึงเหมาโรงแรมจัดเป็นเซฟเฮาส์ ให้พนักงานนอนพัก และจัดรถรับส่งระหว่างเซฟเฮาส์กับโรงกลั่น เพื่อป้องกันความเสี่ยง เพราะหากพนักงานกลุ่มนี้ติด ก็จะทำให้กระบวนการกลั่นน้ำมันหยุดผลิตไปด้วย โดยบริษัทดูแลทุกอย่างให้ครอบคลุม จัดเตรียมอาหารให้ครบทุกมื้อทั้งมื้อหลัก มื้อรอง บริการซักเสื้อผ้า มีผู้บริหารส่งการ์ดกำลังใจ มีทีมงานไปเยี่ยม เพื่อเป็นการขอบคุณและให้กำลังใจ ที่เค้าเสียสละยอมห่างไกลครอบครัวมาอยู่เซฟเฮาส์ ซึ่งมีประมาณ 80-90 คน

"เรามีแนวคิดในการดูแลพนักงานที่เรียกว่า 100Xhappiness อยู่ดีมีสุข โดยดูแลให้ครอบคลุมถึง 3 วง คือ พนักงานเป็นวงแรกที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจบริษัท วง 2 คือครอบครัว ได้แก่ ภรรยา สามี บุตร วงที่ 3 พ่อแม่พนักงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษา หรือค่ารักษาพยาบาล เพราะเราเชื่อว่าหากเราทำให้พนักงานสบายใจ เขาก็จะลดกังวลและมีกำลังมาช่วยในการขับเคลื่อนองค์กร”
นพชัย กล่าวในมุมมองของฝ่ายบุคคลว่า การที่องค์กรให้การดูแลพนักงานรวมไปถึงครอบครัว เห็นผลชัดว่าทุกคนรู้สึกผูกพันกับองค์กร ทุกคนไม่ได้มาบางจากเพราะว่าเป็นที่ทำงาน แต่เป็นเหมือนบ้าน เป็นสถานที่ให้เขามาฝากชีวิต มาปรึกษาปัญหาได้ และที่นี่ยังมีชมรมต่าง ๆ ให้พนักงานไปร่วมทำกิจกรรม เป็นที่ Balance ชีวิตในแต่ละส่วน ถ้าเราเจอผู้บริหารที่ไม่สนับสนุน และเอื้ออำนวยในการทำงานมากนักก็จะลำบาก ซึ่งโชคดีบางจากเราไม่มีปัญหาในส่วนนี้
เช่นเดียวกันกับ พลอย-พลอยไพลิน ศิริราช เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ที่ร่วมแชร์มุมดี ๆ ในส่วนที่เธอได้รับจากนโยบายที่ดูแลพนักงานและครอบครัว คือ การสถานการณ์การฉีดวัคซีน สมาชิกในครอบครัวของเธอได้รับการฉีดวัคซีนกันเกือบหมดจากสิทธิ์การลงทะเบียนของแต่ละคน ยกเว้นคุณแม่ซึ่งไม่ได้มีสิทธิ์อะไรได้เลย พลอยรู้สึกกังวลเพราะแม่อยู่ต่างจังหวัดวัคซีนยังไปไม่ถึง เมื่อบางจากมีนโยบายว่าให้ฉีดวัคซีนให้กับครอบครัวของพนักงานได้ทำให้เธอโล่งใจ ตรงกับที่ ผอ.นพชัย กล่าวไว้คือถ้าองค์กรไม่ดูแลวงที่ 2 หรือที่ 3 ให้ดี พนักงานซึ่งเป็นวงที่ 1 ก็จะไม่สบายใจ
“วันที่แม่ได้ฉีดวัคซีนเรารู้สึกหมดห่วงเรื่องครอบครัวไปเลย เพราะรู้สึกว่าแม่เรา ครอบครัวเราปลอดภัยแล้ว โชคดีที่ได้มาทำงานในองค์กรนี้ รู้สึกดีมากที่การดูแลขององค์กรไม่ได้ดูแลแค่ตัวเรา แต่ยังดูแลครอบคลุมไปถึงครอบครัวของเรา ไม่ใช่แค่เรื่องวัคซีน พ่อแม่เราสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เหมือนทำงานราชการ ครอบครัวเป็นคนต่างจังหวัด ก็จะมีค่านิยม คือ อยากให้ลูกรับราชการ เพื่อความมั่นคงและยังได้สวัสดิการที่ดูแลพ่อแม่ วันนี้ได้ทำงานในองค์กรเอกชนที่มีความมั่นคง และยังมีสวัสดิการที่ดูแลครอบครัวได้ เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจและสุดยอดจริงๆ”

พลอยไพลิน ยังมีความประทับใจในบทบาทของผู้บริหารองค์กร ที่ให้ความสำคัญต่อพนักงานอย่างมาก ในช่วงโควิด ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการดูแลต่าง ๆที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ รวมทั้งการที่ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล เชิญผู้บริหารระดับสูง Live Facebook มาร่วมทำกิจกรรม พูดคุยทักทายพนักงาน จับของรางวัล ก็ได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนเป็นอย่างดี
“เรามีการแจกเซ็ต Care box ที่ทำส่งให้กับพนักงานตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่มีสถานการณ์ COVID-19 โดยกิมมิคคือ ขอการ์ดอวยพรจากผู้บริหาร ตั้งแต่ผู้ช่วยกรรมการใหญ่ขึ้นไป โดยเขียนเป็นลายมือนำมาใส่กล่องและ Random ส่งให้พนักงาน รวมทั้งการเขียนนิยามความหมายให้กับของที่ส่งไป ซึ่งก็จะแฝงเป็นมุขน่ารัก ๆ ที่แต่ละคนจะได้ไม่เหมือนกัน
“เมื่อสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น ก็ส่ง Care kit ที่บรรจุยาสามัญ ฟ้าทลายโจร แน่นอนที่ขาดไม่ได้ คือ การ์ดห่วงใย และการบรรยายสรรพคุณยา ที่รับรองว่าไม่เหมือนที่ใดในโลก นี่ก็ถือเป็น ความน่ารักขององค์กรนี้”

HR สาวทิ้งท้ายไว้ว่า ต่อไปงานของฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลจะต้องมีความเป็น creative และresilience มากขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้โลกต้องเผชิญกับโรค COVID-19 ซึ่งเป็นโรคใหม่ เป็น New Normal ที่เราคาดการณ์ไม่ได้และเปลี่ยนไปทุกวัน ดังนั้นในการทำงานจึงต้องรวดเร็ว ล้มเร็ว ลุกเร็ว ปรับตัวให้ทัน และต้องการความคิดสร้างสรรค์ที่สูง เพราะโลกในยุคต่อไป จะเป็นเรื่องใหม่ที่ท้าทาย ในสิ่งที่เราไม่เคยเจอ ดังนั้นเราจะทำงานด้วยท่าเดิมต่อไปอีกไม่ได้