
DOWNLOAD เทคนิคคุยกับลูกเรื่องเพศ ฉบับเข้าใจลูก
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ชวนดาวน์โหลด คู่มือ เทคนิคคุยกับลูกเรื่องเพศ ฉบับเข้าใจลูก

3 หน่วยงาน ดึงเอ็ชอาร์-สหภาพ เสริมแกร่งแรงงาน สู้วิกฤตโควิด
กรมสุขภาพจิต กรมอนามัย สสส. เซ็นเอ็มโอยู เสริมความรู้ ฟื้นฟูสุขภาพกายใจให้กลุ่มแรงงาน พร้อมสู้วิกฤตโควิด-19 ดึงเอ็ชอาร์-สหภาพแรงงาน ร่วมจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย และไกด์ไลน์สำหรับคนทำงาน
กรมสุขภาพจิต ร่วมกับ กรมอนามัย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต้โครงการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตแรงงานในระบบที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ได้จัดกิจกรรมบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อการส่งเสริมและสนับสนุนการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตแรงงานในระบบที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด 19 ที่มีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ความยากลำบากในการประกอบอาชีพเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง นำมาซึ่งปัญหาการก่อหนี้ ส่งผลต่อความรุนแรงทางจิตใจ เป็นเหตุให้เกิดการอ่อนล้า ท้อแท้ หมดไฟและทำร้ายตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มวัยทำงาน
กรมสุขภาพจิตจึงมีแผนจะแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการสนับสนุนองค์ความรู้และทรัพยากรที่เกี่ยวข้องด้านวัคซีนใจในสถานประกอบการ ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกันกับมาตรการในชุมชน ได้แก่ 1.สร้างความรู้สึกปลอดภัย 2.สร้างความรู้สึกสงบ 3.สร้างความหวัง และ 4.สร้างความเข้าใจและให้โอกาส ร่วมกับใช้ศักยภาพและสายสัมพันธ์ที่ดี ในกลุ่มแกนนำเพื่อการพัฒนาและออกแบบการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจในองค์กร ยินดีที่จะสนับสนุนในการเสริมสร้างความรู้แก่กลุ่มแกนนำในสหภาพแรงงานเพื่อสื่อสารวัคซีนใจให้ขยายวงกว้างในกลุ่มเพื่อนแรงงานต่อไป

นายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ทุกหน่วยงานต่างตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือต่อการส่งเสริมและสนับสนุนการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตแรงงานในระบบที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ในกลุ่มวัยทำงานจะต้องเริ่มจากการร่วมกันเสริมสร้างศักยภาพของแรงงานในระบบให้มีความรอบรู้ทั้งทางกายและทางใจ
กรมอนามัยมีเป้าหมายที่จะร่วมสร้างความรอบรู้และทักษะด้านการจัดการสุขภาพกาย ต่อยอดการสร้างเครือข่ายเกื้อหนุนเสริมกันและกัน และสร้างวัฒนธรรมความเป็นทีมขับเคลื่อนต่อการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการ พัฒนาระบบแรงงานสัมพันธ์บนพื้นฐานความเป็นหุ้นส่วนในการสร้างภาวะสันติสุขที่ยั่งยืนนำไปสู่การเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงานในอนาคต สามารถกำหนดเป้าหมายและมีแผนการสร้างสมดุลชีวิตในระยะยาว

นางสาวบุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ ผู้จัดการโครงการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตกลุ่มแรงงานในระบบภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ภายใต้การสนับสนุนจาก สสส. สำนัก 6 กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาศักยภาพแรงงานในระบบให้มีความรู้และทักษะด้านการจัดการสุขภาพกายและสุขภาพใจ ในขณะที่ต้องพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพเพื่อนำไปสู่หนทางการบรรเทาหนี้ต่อไป โดยภาคีเครือข่ายในการจัดกิจกรรมครั้งนี้
นอกจากหน่วยงานข้างต้นแล้ว ยังประกอบด้วย ฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ฝ่ายบริหาร บริษัท เอจีซี แฟลทกลาส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ไอเอชไอ เทอร์โบ (ประเทศไทย) จำกัด และ ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ บริษัทไทยเรยอน จำกัด (มหาชน)
นอกจากนี้ยังมีสหภาพแรงงานต่าง ๆ เข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้ ประกอบด้วย สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมกระจกแก้วและเคมีภัณฑ์แห่งประเทศไทย, สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย, สหภาพแรงงานวายเอ็มพี ผลิตภัณฑ์โลหะแห่งประเทศไทย, สหภาพแรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ไทย, สหภาพแรงงานผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไทย, สหภาพแรงงานไอเอชไอ ประเทศไทย, สหภาพแรงงานมิซูโน่ พลาสติก, สหภาพแรงงานนากาชิมา, สหภาพแรงงานรวมใจเพื่อนสัมพันธ์ และสหภาพไรเดอร์ ทุกฝ่ายมีแผนที่จะหารือและจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย และกรอบแนวทางการปฏิบัติ โดยจะมีการประชุมอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายใต้บันทึกความร่วมมือนี้
ที่มา : กรมสุขภาพจิต

“วิกฤต” เสริมครอบครัวแกร่ง

ความหมายของ “วิกฤต” คือสถานการณ์อันตราย สิ่งเดิมจะคงอยู่ต่อไปไม่ได้ เป็นภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งอาจจะนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น หรือแย่ลงก็ได้
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ไม่ใช่วิกฤตครั้งแรก และแน่นอนว่าไม่ได้เป็นครั้งสุดท้าย อันที่จริง ชีวิตของเราเจอความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาชีวิตครอบครัวก็เช่นกัน
บางจุดเปลี่ยนส่งสัญญาณทีละน้อย เช่น การเติบโตขึ้นหรือเฒ่าชราลงของคนในบ้านแต่บางเรื่องเกิดขึ้นโดยเราไม่ทันตั้งตัว เช่นการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากอุบัติเหตุ รวมทั้งโรคระบาดที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆแล้วลุกลามอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบรุนแรงไปทั่วทั้งโลก
เข้าใจวิกฤต
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจนถึงจุดที่เรียกว่า “วิกฤต” เรียกร้องให้ต้องมีการปรับตัวตอบรับอย่างเหมาะสม ในโลกยุคนี้ เทคโนโลยีพัฒนาไปเร็ว ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วตามไปด้วยโลกเหมือนถูกย่อขนาดให้เล็กลง เพราะคนไปมาหาสู่และรับรู้เรื่องราวกันโดยที่ไม่ต้องใช้เวลายาวนานอย่างในอดีต
เมื่อความเปลี่ยนแปลงเกิดเร็วขึ้นบ่อยครั้งขึ้น และอาจจะรุนแรงมากขึ้น ครอบครัวจำเป็นต้องยืดหยุ่นได้ ปรับตัวไว รวมทั้งช่วยสนับสนุนให้สมาชิกได้ปรับตัวตอบรับวิกฤตไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้ความเปลี่ยนแปลงเป็นไปในด้านบวก
มีข้อคิดที่จะช่วยให้เราเข้าใจวิกฤตได้ดียิ่งขึ้น
อย่าเห็นวิกฤตเป็นเรื่องธรรมดา บ่อยครั้งเราคิดว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้เราไม่เตรียมตัวไม่ปรับตัว กว่าจะรู้อีกที สถานการณ์ก็แย่ลงจนเกินจะเยียวยา เช่น ลูกโตเป็นวัยรุ่นแต่ยังเลี้ยงเหมือนตอนที่ลูกเป็นเด็กเล็ก ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ เลยถอยห่าง พอมีปัญหาก็ไม่ปรึกษาพ่อแม่จนเรื่องราวลุกลามเกินแก้ไข
อย่าต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนจำนวนไม่น้อยเมื่อเผชิญปัญหาจะไม่ยอมรับความจริง และไม่ต้องการปรับตัว แต่เลือกที่จะหนีปัญหา โดยการเอาตัวรอดเฉพาะหน้าด้วยการกินเหล้า ใช้ยาเสพติด หรือใช้ความรุนแรง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนซ้ำเติมวิกฤต
มองรอบด้านอย่าโทษกันเอง บ่อยครั้งเราลืมมองภาพใหญ่เชื่อมโยงให้เห็นสาเหตุของปัญหา แต่หันไปใช้วิธีง่ายๆ โดยการ “หาแพะ” ตัวอย่างปัญหาการเงินและการใช้ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากโควิด-19 แพร่ระบาด แทนที่จะเข้าใจสาเหตุเพื่อหาทางแก้ไขให้ตรงจุดแต่กลับชี้นิ้วคนข้างๆ ว่าเป็น “ตัวปัญหา” จนนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง ทำให้ความสัมพันธ์ต้องย่ำแย่ลง

5 ข้อ ข้ามวิกฤตไปด้วยกัน
1. ดูแลตัวเอง ใส่ใจคนรอบข้าง
เวลาที่รู้สึกหงุดหงิดสับสน ความเครียดเข้าครอบงำ ให้กลับมาอยู่กับตัวเอง ยอมรับก่อนว่าเรากำลังอยู่ภาวะที่จิตใจไม่เป็นปกติให้ตั้งสติ ผ่อนคลายแบบเร่งด่วน ด้วยการหายใจช้าๆ ลึกๆ ออกซิเจนจะไปเลี้ยงส่วนต่างๆในร่างกายได้เต็มที่ หัวใจเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง สมองแจ่มใสขึ้น พยายามรักษากิจวัตรประจำวันเอาไว้ ได้แก่การกินอาหาร ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลกายใจให้พร้อมรับมือโจทย์ยาก
ประคับประคองตัวเองให้ตั้งหลักได้แล้วค่อยหันไปดูคนรอบข้างว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง จะดูแลกันอย่างไรดี การผลีผลามไปจัดการคนอื่นทั้งที่ตัวเองไม่พร้อม มีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง
2. สร้างความเข้าใจ สร้างทีมครอบครัว
บ่อยครั้งเราเก็บงำปัญหาไว้ ไม่อยากให้ใครรู้ เพราะกลัวถูกตำหนิ หรือกลัวคนในบ้านจะเป็นทุกข์ที่จริงแล้ว ทุกคนในครอบครัวควรได้รับรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เพื่อจะปรับตัวได้อย่างเหมาะสมฉะนั้น สื่อสารข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ “ทีมครอบครัว” ของเราก้าวไปด้วยกัน
ที่สำคัญอย่าลืมว่าแต่ละคนต่างกัน กลุ่มที่ปรับตัวได้ยากลำบาก และครอบครัวน่าจะระมัดระวังและดูแลเป็นพิเศษได้แก่ เด็กและผู้สูงอายุ การสื่อสารต้องเหมาะกับแต่ละคน แต่ละช่วงวัย เปิดใจรับฟังความรู้สึกรวมทั้งข้อสงสัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา
3. กำหนดเป้าหมาย-วางกติการ่วมกัน
เมื่อทุกคนรับรู้แล้วว่าครอบครัวของเรากำลังเจอปัญหาใหญ่คงจะดีถ้าทุกคนได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหามากบ้างน้อยบ้างตามศักยภาพ ทางที่ดีคือจับเข่าคุยกันตอนนี้เรากำลังจะเดินไปทางไหน แต่ละคนมีส่วนช่วยครอบครัวอย่างไรได้บ้างอะไรคือสิ่งที่ควรหรือไม่ควรทำ ชวนกันมองวิกฤตให้เห็นโอกาส มุมมองเชิงบวกจะช่วยให้เรามีความหวังและพลังใจที่จะก้าวผ่านช่วงเวลายากลำบากไปด้วยกัน
4. บ้านคือ “พื้นที่ปลอดภัย”
ไม่ว่าจะในช่วงเวลาไหนๆบ้านควรเป็นฐานที่มั่นสำหรับทุกคนอยู่บ้านอยู่กับสมาชิกในครอบครัวแล้วรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย ยิ่งในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูงไม่มีใครรู้ว่าจะไปทางไหน จะซ้ายหรือขวา บรรยากาศท่วมท้นไปด้วยความรู้สึก อาจเป็นความหวาดกลัววิตกกังวล โศกเศร้าเสียใจ สับสน ฯลฯ แต่ละคนมีความรู้สึกและแสดงออกแตกต่างกันไป บ้านและคนในบ้านควรเป็นที่พึ่งที่พักใจ และส่งผ่านความรู้สึกที่ดีให้กันและกัน
5. ชีวิตทางสังคม ต้องรักษาไว้
อย่าเอาแต่ปลีกตัวนอกจากรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัวให้ดีแล้ว ปฏิสัมพันธ์กับสังคม ทั้งเพื่อนฝูงญาติมิตรเป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ไม่ว่าจะเจอกันตัวเป็นๆ หรือผ่านเครื่องมือสื่อสาร และนั่นรวมถึงการหาทางออก ซึ่ง“ตัวช่วย” อาจจะจำเป็น เช่น คนรอบข้างที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามยาก หรือ “มืออาชีพ”ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง อย่าลังเลที่จะใช้ประโยชน์จากช่องทางออนไลน์ในการค้นหาข้อมูลและเลือกหน่วยงานหรือองค์กรที่ตอบโจทย์ พิจารณาความน่าเชื่อถือให้ดี ปัญหาที่ว่ายากอาจคลี่คลายลงอย่างง่ายดายกว่าที่คิด
ครอบครัวคือแหล่งพลังงานสำคัญสำหรับชีวิต ฉะนั้น ถ้าสมาชิกช่วยกันถนอมรักษาและเติมพลังให้กันและกันการก้าวผ่านวิกฤตก็จะนำครอบครัวสู่ภาวะสมดุลใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม โดยจะเป็น “นิว นอร์มอล” ที่ประสบการณ์ได้ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง พร้อมกับเติมความสามารถและทักษะในการปรับตัวให้กับสมาชิกทุกคน
ที่มา : เว็บไซต์ เพื่อนครอบครัว